วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง

ประวัติหลวงพ่อทิม อิสริโก

วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง


          ประวัติโดยสังเขป


พระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่ทิม อิสริโก)
วัดละหารไร่ (วัดไร่วารี)
เกิด : วันศุกร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๒ ตรงกับเดือน ๗ ปีเถาะ
เป็นบุตรของนายแจ้ และนางอินทร์ งามศรี
อุปสมบท : วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙
ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม ณ วัดละหารไร่
มรณภาพ : วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
เวลา ๒๓.๐๐ น. ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่
รวมสิริอายุ : ๙๖ ปี ๗๒ พรรษา


          หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม นามสกุลงามศรี เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ ๒ ตำบลละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชายทั้ง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เกิดเมื่อ ปีมะแม เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี
หลวงปู่ทิมเป็นหลานของหลวงปู่สังข์ โดยมารดาของท่านเป็นน้องสาวหลวงปู่สังข์ หลวงปู่สังข์นี้เป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก น้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าในวิทยาอาคมของท่าน จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น ก่อนที่จะไปอยู่วัดเก๋งจีนนั้น หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งตำราและวิทยาการต่าง ๆ ไว้ที่วัดละหารไร่ทั้งหมด เพราะท่านไม่หวงแหนในวิชาของท่านแต่อย่างใด ท่านกล่าวว่า "ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าเอาเอง" บรรดาตำราและวิทยาการต่าง ๆ หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่นี้เองที่หลวงปู่ทิมก็ได้ใช้ศึกษาในเวลาต่อมา
อุปสมบท

          อุปสมบท

          หลวงปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ๒๔๔๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว วัดทับมาเป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สิงห์ (พระอาจารย์ของท่าน ในขณะที่ท่านได้ศึกษาครั้งแรก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมา วัดละหารไร่ ได้ฉายาว่า อิสริโก เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์สิงห์ได้ ๑ พรรษา ขณะที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้น ท่านได้ค้นคว้าและศึกษาตำราของหลวงปู่สังข์ทีท่านได้ทิ้งไว้ให้ตามตู้พระไตรปิฎกอย่างตั้งใจ เพราะท่านมีความสนใจในทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่ทิม อิสริโก นับว่าเป็นพระอาจารย์ที่แปลกกว่าพระอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน คือ ท่านต้องการฝึกฝนตนเองด้วยการออกไปหาประสบการณ์ด้วยการออกเดินธุดงค์ ซึ่งพระในรุ่นเดียวกันไม่มีใครคิดที่จะออกไปแสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างท่าน เพราะต้องการศึกษาในทางพระปริยัติธรรมเท่านั้น
เมื่ออยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านก็มาพิจารณาว่า ท่านก็ได้ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว จึงควรเดินทางกลับมาพักเสียที เมื่อคิดดังนั้น ท่านก็เดินทางกลับมาจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็นเวลา 2 พรรษา ระหว่างนั้นท่านก็ได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์หลายอาจารย์ด้วยกันรวมทั้งฆราวาส โยมเริ่ม โยมรอด และโยมสาย นอกจากนั้นยังศึกษาตำราซึ่งตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของหลวงปู่ทิม เป็นเวลา 2 ปี เศษ และต่อมาท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ (วัดไร่วารี) ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน

          วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยังต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่ ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบ ๆ เท่านั้น หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติโยมในท้องถิ่นนั้น คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน คือ นายทัต นายเปี่ยม และ นายแหยม ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก
วัดละหารไร่นี้ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า รองเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ในสมัยนั้น เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งตรงด้านตรงข้ามทางด้านเหนือของวัดละหารใหญ่ มีทำเลดีเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผัก จึงได้เกณฑ์พวกลูกศิษย์ช่วยกันหักร้างถางพงใช้เป็นที่ปลูกพืชผักไว้ขบฉันกินเป็นอาหาร ในฤดูแล้ง ในขั้นแรกได้ทำการสร้างที่พักร่มเงาเอาไว้ เมื่อถึงเลวเข้าพรรษาก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ ต่อมามีผู้คนได้ไปทำไร่ในแถบใกล้ ๆ ที่นั้นมากขึ้น และเห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่ เมื่อถึงวันพระก็จัดทำภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ และต่อ ๆ มาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น ๆ จึงได้ก่อสร้างกุฏิวิหารขึ้น พระสงฆ์ก็จำพรรษาที่นั่นได้ แล้วตั้งชื่อว่าวัดละหารไร่ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ไปเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก  

        ตำแหน่งทางคณะสงฆ์และสมณศักดิ์

วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก

          ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยังต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่
ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบๆ เท่านั้น
หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติโยมในท้องถิ่นนั้น
คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน
คือ นายทัต นายเปี่ยม และนายแหยม
ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก

          เมื่อหลวงปู่ทิมมาอยู่วัดละหารไร่แล้ว ต่อมาคณะสงฆ์และญาติโยมชาวบ้าน
ได้พร้อมใจกันนิมนต์ หลวงปู่ทิม อิสริโก
ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ องค์ที่ ๖ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๐


         มรณภาพ

ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่ หลังจากที่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา เป็นเวลา ๒๓ วัน คณะศิษย์ได้จัดพิธีศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดละหารไร่ หลังจากทำบุญ ๑๐๐ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับหลวงปู่ทิมแล้ว ได้เก็บศพไว้ที่ศาลา ภาวนาภิรัต ศาลาการเปรียญ วัดละหารไร่ จนกระทั่งได้ทำการพระราชทานเพลิงศพท่านไปเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๖

บารมีของหลวงปู่ทิม

         บิณฑบาตที่ จ.ชลบุรี

มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ที่ จ.ชลบุรี อ.บางละมุง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้
ได้มาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานนี้ผมเห็นหลวงปู่ทิม ไปบิณฑบาตอยู่ที่เมืองชล
ผมจำได้เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะจำหลวงปู่ทิมได้
ผมก็ได้แต่นึกและก็ไม่กล้าตอบ แต่นึกว่าหลวงปู่ของเราจะเป็นไปได้หรือ
ผมจึงเก็บเอาเนื้อความนี้ไว้แต่ในใจและก็คุยกันเรื่องอื่นต่อไป
อยู่มาประมาณอีกสัก ๑๐ กว่าวัน ก็มีคนเมืองชลมาเล่าให้ผมฟังอีก
ก็เหมือนกับที่คนแรกเล่าให้ผมฟังทุกประการ
ผมจึงลองถามหลวงตาที่เป็นขรัวรองอยู่ที่วัดดู และเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง
ท่านตอบว่า อาตมาก็ไม่ทราบและไม่ได้สังเกตเพราะฉันจังหันต่างกัน
แต่ก็ปรากฏว่ามีอาหารแปลกปะปนอยู่เสมอ
แต่ก็อาจจะเป็นความจริงเพราะท่านเป็นพระที่สำเร็จญาณชั้นสูงอยู่แล้ว

ยิงไม่ถูก

มีชาวบ้านหนองละลอกคนหนึ่งชื่อ นายธง สุขเทศ
หรือชาวบ้านละแวกนั้นมักเรียกว่า ปลัดธง บ้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านผมเท่าไรนัก
หลังจากที่ผมกลับจากทำงาน ก็อาบน้ำ จวนจะทานอาหารเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม
ปลัดผู้นี้ก็เริ่มจะทานอาหารเหมือนกัน หยิบจานอาหารมาวางและมีลูกสาวอยู่ใกล้ๆ
ผมก็กำลังทานอาหารอยู่ที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดขึ้น ๒ จังหวะ
๔ นัด แล้ว ๓ นัดติดต่อกัน ปรากฏภายหลังว่า
ผู้ยิงพาดปืนกับขอบสังกะสีรั้วบ้านระยะประมาณ ๔ เมตร
แต่กระสุนมิได้ถูกนายธงเลย มีกระสุนไปถูกขาตั้งรถจักรยาน
ทำให้สะเก็ดบินไปโดนเด็กลูกสาวที่ขาบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้คงเป็นเพราะอภินิหารเหรียญหลวงปู่ทิม รุ่นแรก
ซึ่งนายธงแขวนคออยู่เพียงเหรียญเดียว ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า
ผู้ยิงใช้ปืนคาร์บิ้น ๒ กระบอก เพราะเก็บปลอกกระสุนได้แน่ชัด

ยิงไม่เข้า

มีคนเดินทางมาจากเมืองชล เล่าให้ผมฟังว่า
เพื่อนของเขาถูกยิงตอนเวลาหลังอาหาร ด้วยปืนลูกซองถึง ๙ นัด
เสื้อขาดทะลุถึงผิวหนังไหม้เกรียม แต่ไม่เข้า
ทั้งนี้ก็เพราะเขาได้ปลักขิกหลวงปู่ทิมกับลูกอม มาแขวนไว้เพียงไม่กี่วัน
และเรื่องเท่าที่ผมเห็นมาเกี่ยวกับปลักขิก ก็คือ
หลานของผมถูกสุนัขกัดจนเสื้อกางเกงขาดเป็นริ้วรอย ถึงกับล้มลงนอนร้องไห้
เมื่อผมวิ่งไปช่วยปรากฏว่าไม่มีรอยเขี้ยวสุนัขเลย
เด็กคนนั้นมีแต่เพียงปลักขิกของหลวงปู่ทิมแขวนอยู่ที่เอว ๑ อันเท่านั้น

น้ำมนต์เดือด

เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑ ที่วัดตะพงนอก อ.เมือง จ.ระยอง
ได้มีพิธีปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังหลวงพ่อจันทร์ เจ้าอาวาสวัดตะพงนอก
ในพิธีนี้ได้นิมนต์เกจิอาจารย์มาหลายรูปด้วยกัน และหลวงปู่ทิมก็ได้รับนิมนต์ด้วย
หลังจากเริ่มพิธีปลุกเสก หลวงพ่อต่างๆ ก็ได้ทำการปลุกเสก
ในพิธีนี้ ท่านอาจารย์รัตน์ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ได้นำโอ่งใส่น้ำมนต์มาตั้งไว้
และนิมนต์หลวงปู่ทิมทำการปลุกเสกน้ำมนต์องค์เดียว ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ปรากฏว่าน้ำมนต์ที่่อยู่ในโอ่งใหญ่ครึ่งโอ่ง พอหลวงปู่ลงมือปลุกเสก น้ำได้เดือด
และค่อยๆ ทวีความสูงขึ้นท่ามกลางความอัศจรรย์ของผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ปรากฏว่าหลังจากพิธีแล้วเสร็จ น้ำมนต์ได้ถูกชาวบ้านแย่งเอาไปจนหมดสิ้น

แคล้วคลาด

นายจำลอง แห่งร้านทวีทรัพย์ ได้ชวนนายเพียรวิทย์ จารุสถิติ
และนายนิวัฒน์ แห่งร้านรุ่งเรืองมิตร ให้ไปหาหลวงปู่ทิมเพื่อนมัสการท่าน
ขากลับได้บูชาเหรียญ รูปถ่าย และปลักขิก
กลับมาได้ครึ่งทาง นายนิวัฒน์จึงชวนนายจำลองเพื่อขอลองของทั้ง ๓
จึงได้ทำการทดลองโดยทั้ง ๓ นำเอาเครื่องรางดังกล่าวอาราธนาแล้วแขวนกิ่งต้นไม้
นายจำลองได้ใช้ปืน .๒๒ ยิงในระยะห่างกันประมาณ ๑ คืบ ปรากฏว่ายิงไม่ถูก
นายนิวัฒน์จึงขอยิงบ้าง จ่อยิง ปรากฏว่าไม่ถูกอีกเช่นกัน
ทั้งคู่บอกว่าถ้าระยะนี้ยิงไม่ถูกก็ไม่ต้องใช้ปืนแล้ว เพราะทั้งคู่เป็นผู้ที่สนใจปืนอยู่แล้ว

ถ่ายรูปหลวงปู่ไม่ติดถ้าไม่ขออนุญาต

เมื่อคราวปลุกเสกของที่วัดพลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง
หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปนั่งปลุกเสกด้วย
มีช่าวภาพหนังสือพิมพ์ไปถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาตจากหลวงปู่ก่อน
ปรากฏว่ากดชัตเตอร์เท่าไรๆ ชัตเตอร์ก็ไม่ทำงาน
แต่พอนึกได้ เข้าไปขออนุญาตก็ติดและได้ภาพที่ชัดเจนดี

เสกตะกรุดใต้น้ำ

คุณป้าอยู่ งามศรี บ้านอยู่ใกล้ๆ วัดละหารไร่ และเป็นหลานของหลวงปู่ทิม
ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยหลวงปู่ทิมอายุประมาณ ๖๐-๗๐ ปี
เวลาท่านทำตะกรุด ท่านจะลงไปทำใต้น้ำ
โดยถือตะกรุดแล้วเดินลุยน้ำลงไปจากศาลาหน้าวัด มีผู้เห็นกันหลายคน
เมื่อหลวงปู่ทิมทำตะกรุดเสร็จ ก็เดินลุยน้ำขึ้นมา
ทุกคนประหลาดใจเพราะเนื้อตัวและจีวรของหลวงปู่ทิมหาได้เปียกน้ำไม่

เสกตะกรุดลอย

ท่านพระอาจารย์รัตน์ เจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็งมาก สามารถเสกจนตะกรุดลอยได้
ท่านเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งได้นิมมนต์พระอาจารย์ชื่อดังของ จ.ระยอง
มา ๔ รูปด้วยกัน มีหลวงพ่อหอม หลวงพ่ออ่ำ หลวงพ่อชื่น และหลวงปู่ทิม
ให้หลวงพ่อที่มาทั้ง ๔ รูปนำตะกรุดสาริกามาด้วย
แล้วนำลงใส่บาตร ให้หลวงพ่อทั้ง ๔ องค์นั่งล้อมรอบบาตร
และขอให้ท่านทุกองค์เรียกตะกรุดให้ลอยขึ้นจากบาตร
หลวงพ่อหอม เป็นผู้เรียกก่อนโดยนั่งบริกรรมอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมา
จากนั้นหลวงพ่ออ่ำ และหลวงพ่อชื่น ก็ได้นั่งบริกรรมทำนองเดียวกัน
ตะกรุดก็ไม่ยอมลอยขึ้น จนถึงองค์สุดท้ายคือหลวงปู่ทิม
ท่านนั่งบริกรรมอยู่สักครู่ก็ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมาจากก้นบาตร
หลวงพ่อหอม และท่านพระอาจารย์รัตน์ เจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก
เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ แล้วบอกว่าขอให้ช่วยทำให้วิ่งรอบบาตรด้วย
หลวงปู่ทิมก็นั่งหลับตาภาวนา ตะกรุดก็วิ่งอยู่รอบๆ บาตร
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของพระสงฆ์ทุกองค์
และเรื่องนี้ได้เป็นที่โจษขานกันทั่วไปใน จ.ระยอง

อำนาจจิตอันกล้าแข็งของหลวงปู่ทิม

แม้แต่เครื่องปั่นไฟท่านก็สามารถบังคับให้หยุดได้โดยไม่ทราบสาเหตุ
คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดละหารไร่ มีลิเกมาเล่น
พอลิเกกำลังจะออกแขกก็ปรากฏว่าไฟฟ้าดับพรึบลง
พอแขกเข้าโรงไฟฟ้าก็สว่างขึ้น เป็นอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง
จนต้องมีคนเตือนคณะลิเกให้ไปขออนุญาตหลวงปู่ทิมเสียก่อน
เมื่อไปขออนุญาตแล้วก็ปรากฏว่าไฟฟ้าที่เคยปิดๆ ดับๆ ก็ติดสว่างตลอดทั้งคืน

คาถาของหลวงปู่ทิม

มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ

หลวงปู่ทิมท่านว่าเป็นคาถาที่ดีและก็สั้น
พุทธานุภาพของคาถาบทนี้ก็สูงมาก อยู่ที่คนปฏิบัติ
ท่านยังกรุณาเล่าให้ฟังว่า มีใครคนหนึ่งที่อยู่ตลาด
มาปรับทุกข์ให้ท่านฟังว่า ขายของก็ไม่ดี
ทะเลาะกับเมียอยู่ที่บ้านแทบทุกวัน ญาติพี่น้องต่างเกลียดชัง
อยากจะขอคาถาให้เขารัก หลวงปู่จึงให้คาถาบทนี้ไป
ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ ชายผู้นั้นมีความสุขแล้ว
จะไปไหนเมียก็ตามไปด้วย ญาติพี่น้องก็รักใคร่กันดี
ผมจึงมั่นใจว่าพุทธานุภาพในคาถาบทนี้
จะประสบผลสำหรับผู้ที่ปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ
ถ้าผู้ใดได้รับคาถานี้ไป ขอให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ และคุณของหลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นที่ตั้ง
ทุกอย่างก็จะอำนวยโชคพอสมควรกับบุญกรรมของบุคคลนั้น


         วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมมีมากมาย อาทิ เช่น
1.พระเหรียญ
2.พระผง
3.พระกริ่ง
4.อื่นๆ










วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประวัติหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ประวัติโดยสังเขป



           เกิดในตระกูลหนูศรี เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง (ตรงกับวันวิสาขบูชา) โดยเป็นบุตรของนายพุดกับนางพุ่ม หนูศรี มีพี่สาวร่วมบิดามารดา ๒ คน ท่านเป็นคนที่ ๓ เป็นบุตรคนสุดท้อง
  หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บรรพชาอุปสมบท ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงปู่กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่แด เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ”
 ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความใฝ่รู้จึงมีความเพียรที่ศึกษาทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ จากพระคณาจารย์ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมในยุคนั้นหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อเภา ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม หลวงพ่อรอด (เสือ) และอีกหลายๆท่านตามจังหวัดต่างๆ
          หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีวิธีการเมตตาในสอนศิษย์ทังหลาย โดยอุบายธรรมสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งในตัว โดยเล่าจากเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็นมากับตัวของท่านเองหรือได้มาจากการปฏิบัติธรรมอันยาวนานตลอดชีวิตท่านและบางครั้งก็กล่าวถึงพุทธประวัติ ธรรมบทหรือชาดกต่าง ๆ ตามแต่ท่านจะเห็นควร ในเวลาหรือโอกาสต่าง ๆ ที่จะนำมาสอนศิษย์เพราะลูกศิษย์แต่ละคนนั้นมีภูมิธรรมไม่เท่ากัน คนที่เข้าวัดใหม่ ๆ ท่านก็จะสอนแบบเข้าใจง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งและกินใจจน เสมือนหนึ่งว่าท่านสามารถรู้ถึงก้นบึ้งของความคิดของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา

คำของหลวงปู่ดู่ที่กล่าวไว้

บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดี ได้เห็นอะไรก็ตามโมทนาไปเลย ไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่เหนือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือกรรม
ถึงแกมาวัด แต่ใจยังมีโลภ โกรธ หลง แกยังมาไม่ถึงวัด แต่ถ้าแกอยู่ที่บ้านหรือที่ไหนๆ แต่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ข้าว่าแกมาถึงวัดแล้ว
"บุญ คือ ความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไร สบายใจทุกที
ข้าไม่มีศิษย์เอก ไม่มีคนโปรด ข้ารักศิษย์ทุกคนเหมือนกันหมด ข้าอยู่กับทุกคนและช่วยเหลือเหมือนกัน อยู่ที่ใครจะเข้าถึงข้าได้หรือไม่ หมั่นภาวนาเข้าไว้
พวกแกน่ะ เบื่อไม่จริง เดี๋ยวเบื่อ เดี๋ยวอยาก
ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์
" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเราดูมีพอิภระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี
อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว
          มีคนเคยกล่าวว่าหลวงปู่ดู่ คือหลวงปู่ทวดมาจุติใหม่จึงมีศิษยานุศิษย์มากมาย ส่วนเรื่องอภินิหารเรื่องราวของท่านก็มีอยู่มากมาย

ตัวอย่างเรื่องเล่าของท่าน (น่าจะมีอยู่ด้วยกันประมาณ ๓๗ เรื่อง)

น า น า ท ร ร ศ น ะ เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ ค รื่ อ ง บู ช า (เรื่องเล่าที่ ๓๕. )
        ผู้ที่มีพระเครื่องบูชา มักคิดไม่ตกว่าควรวางไว้ที่ใดจึงควรแก่การสักการะ คำถามเหล่านี้มีเป็นประจำ ผู้เขียนจึงรวบรวมไว้โดยสังเขป ดังนี้
        ผู้ถาม "พระหลวงปู่ตั้งไว้ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าได้ไหม"

        หลวงปู่ "ข้าทำพระ สุดท้ายก็อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า รูปข้าหรือรูปพระสงฆ์ทั่วไปยังไม่ใช่ของจริง เป็นของหลอก มีแต่พระพุทธเจ้าจึงมีจริง"
        ผู้ถาม "อย่างนั้น ตั้งไว้อาสนะเดียวกันได้สิครับ"
        หลวงปู่ "ได้ ถ้าแกไม่กลัวโลกเขาติเตียน ผู้รู้จะตำหนิเอาได้"
        ผู้ถาม "ถ้าผมไม่มีโต๊ะหมู่บูชา มีเพียงโต๊ะตัวเดียวจะทำอย่างไร"
        หลวงปู่ "เอาผ้าขาว กระดาษขาว วางรองไว้ที่ฐานพระพุทธรูป ก็ถือว่าคนละอาสนะแล้ว"
        ผู้ถาม "ถ้ามีคนเอารักยม กุมาร หรือรูปนางกวักเหล่านี้มา หลวงปู่เสกไหมครับ"
        หลวงปู่ "เสกได้ ทำเป็นพระเสียก็หมดเรื่อง รักยมก็บวชให้เป็นเณร เณรเป็นอรหันต์มีเยอะแยะ นางกวักก็เป็นภิกษุณี"
        ผู้ถาม "พระแก้วมรกตมีพระธาตุจริงไหม"
        หลวงปู่ "พระแก้วเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระนาคเสนเป็นพระอรหันต์ที่สร้างขึ้นมา ท่านอธิษฐานให้พระสารีริกธาตุสถิตอยู่ ๗ แห่ง"
        ผู้ถาม "ตัวแทนพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องสร้างด้วยมรกตสีเขียวใช่ไหมครับ"
        หลวงปู่ "ไม่เหมือนกัน ถ้าถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรย พระทำด้วยทับทิม (แก้วมณี) เพราะเป็นของคู่บารมีท่าน"
        ผู้ถาม "การที่พระภิกษุสร้างรอยเท้าให้บูชานั้น มีวัตถุประสงค์อย่างไร"
        หลวงปู่ "การทำเช่นนั้น มิใช่การทำรอยเท้าของท่านเอง หากแต่อธิษฐานเป็นรอยเท้าพระพุทธเจ้า"


ต า ย ก่ อ น ต า ย ช่วงที่ ๑ (เรื่องเล่าที่ ๓๓. )

          เมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบินตกที่ อ.ธัญบุรี เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๗ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้หลายคน ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนภาคอีสาน ได้ถึงแก่มรณภาพพร้อมกันหลายรูป มีพระอาจารย์จวน, พระอาจารย์วัน, พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นต้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ว่าท่านเหล่านี้ล้วนทรงคุณธรรมสัมมาปฏิบัติ ทำไมจึงต้องมามรณภาพแบบนี้ ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ ท่านตอบว่า
         "ท่านเหล่านั้น ตายก่อนตาย ท่านจึงไม่กลัวตาย ท่านตายแล้วก่อนเครื่องบินจะตกลงกับพื้น"
ผู้เขียนเกิดความสงสัยในคำพูดของหลวงปู่ คิดจะถามต่อเพราะเข้าใจว่าท่านถอดจิตไป แต่หลวงปู่ท่านตอบว่า
         "ท่านเป็นพระอรหันต์ กิเลสท่านหมดแล้ว ตายตอนไหนก็เป็นเรื่องของสังขารร่างกาย จิตท่านไม่ตาย"
         ผู้เขียนยกมือสาธุคำพูดของหลวงปู่ ความสงสัยในใจหายไป นึกถึงพระโมคคัลลาน์ พระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษ ยังต้องถูกโจรทุบตาย กรรมทางร่างกายเกิดขึ้นกับท่าน เพราะด้วยใช้กรรมจากอดีต เนื่องจากเคยทารุณบิดามารดาในกาลก่อน

         มีพระภิกษุท่านหนึ่งได้ออกข่าวครึกโครม ในทำนองว่าการตายของพระเหล่านั้น เป็นการตายโหง ยังไปไม่ได้ ถึงกับท่านต้องแผ่เมตตาให้บุญ จึงพ้นจากภูมิที่ท่านได้เป็นอยู่ แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ต้องพูดไม่ผิด จึงบอกกับผู้ที่มาถามถึงทรรศนะของผู้เขียน โดยบอกว่าให้รอ เมื่อเผาท่านเหล่านี้เสียก่อนแล้ว จึงค่อยมาพูดกัน เพราะยิ่งพูดยิ่งวิจารณ์มากจะเกิดบาปเปล่าๆ
หลังจากมีพิธีพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์เหล่านั้น อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ ซึ่งแสดงถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์เป็นจริงตามที่หลวงปู่กล่าวไว้..


ต า ย ก่ อ น ต า ย ช่วงที่ ๒

         ในเรื่องของความตาย หลวงปู่เคยพูดเสมอว่า "ท่านสู้แค่ตาย" และเมื่อท่านถึงคราวละสังขาร ท่านก็แสดงถึงสัจธรรมคำพูดท่าน คือ ท่านหัวใจวายในขณะที่ท่านกำลังจะออกมาโปรดญาติโยมตามปกติ ญาติโยมบางท่านเกิดความข้องใจว่า ทำไมหลวงปู่จึงไม่นั่งสมาธิละสังขาร ผู้เขียนจึงระลึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ดูลย์ อตุโล ในคราวที่ปีนเขาขึ้นไปเยี่ยมพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ถ้ำขามด้วยความยากลำบาก ท่านบอกกับอาจารย์ฝั้นว่า "ท่านไม่มีวิบากของสังขาร ถ้าเห็นว่าไปไม่ไหวก็ทิ้งไปเลย" แสดงถึงจิดของท่านที่เตรียมหร้อมทุกอิริยาบท หลวงปู่ดู่เช่นกัน ท่านไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อให้ลูกศิษย์ได้ปฐมพยาบาล อย่างมากที่สุดคือ ท่านอนุญาตให้นายแพทย์ทำการให้น้ำเกลือ หรือฉีดยาเพื่อการสงเคราะห์เท่านั้น บางครั้งแพทย์ลงความเห็นว่า ท่านควรจะไปรักษาที่โรงพยาบาล ท่านก็ไม่ยอมไป หลวงปู่เพียงแต่บอกว่า "ไม่เป็นไร" ถ้าลูกศิษย์แสดงความกังวลออกมาท่านจะพูดออกมาว่า "ยังไม่ตายหรอก ถ้าตายเมื่อไรจะบอก" แสดงถึงความกล้าหาญ ไม่กลัวในความตายของหลวงปู่ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

          ลูกศิษย์ที่รับใช้หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งดูอาการของหลวงปู่ไม่ดีอย่างมาก คิดในใจว่าจะไปโทรศัพท์เรียกนายแพทย์ หลวงปู่รีบบอกว่า "ไม่ต้องโทรไปบอก ข้าไม่เป็นไร" ด้วยความที่เธอเป็นห่วง จึงโทรตามนายแพทย์มา เมื่อนายแพทย์มาถึงและตรวจอาการก็ไม่พบอะไร เมื่อนายแพทย์กลับไปแล้ว อาการท่านก็เป็นแบบเดิม และในสันนี้ ก็เป็นวันสุดท้ายของหลวงปู่ที่จะละสังขารจริงๆ มีญาติโยมจะนำสังฆทานมาถวายท่านในตอนเย็น หลวงปู่สั่งให้ไปถวายพระองค์อื่น เงินให้ใส่ในตู้ทำบุญ นับแต่นี้ไปท่านจะเลิกรับสังฆทาน

          พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด เคยเขียนประวัติพระอาจารย์มั่น ตอนหนึ่งกล่าวถึง พุทธนิมิตของพระอรหันต์ ซึ่งแสดงถึงการนิพพาน มีอยู่หลายอิริยาบททั้ง ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วแต่เวลาที่จะไป บางองค์เดินอยู่แล้วถึงนิพพาน นับว่าเป็นภาพที่ประทับใจสำหรับพระอาจารย์มั่นมาก หลวงปู่ดู่ท่านกำลังเดินออกจากกุฏิแต่มรณภาพ ก่อนที่จะออกมาเมตตา แสดงถึงความไม่สะทกสะท้านดังเช่น หลวงปู่ดูลย์ บอกไว้ทุกประการ....

ท า ง ที่ พ้ น โ ล ก (เรื่องเล่าที่ ๓๓. )

          หลวงปู่เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงประสบการณ์จากลูกศิษย์คนหนึ่ง กล่าวคือ ในตอนแรกลูกศิษย์ของท่านคนนี้นับถือศาสนาคริสต์ก็ไม่ยอมปฏิบัติ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปนั่งปฏิบัติในกุฏิของท่าน และเห็นหลวงปู่ทวดในนิมิต ด้วยเหตุผลทางศาสนาจึงทำให้ไม่ยอมกราบหลวงปู่ทวด แต่ในที่สุดก็ต้องกราบหลวงปู่ทวดจนได้
         ต่อมา ลูกศิษย์คนนี้มานมัสการท่านพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ และได้เรียนถามท่านว่า "หลวงลุงครับ รู้จักหลวงพ่อธรรมโชติไหม" ท่านก็ฉุกคิดได้ถึงการอธิษฐานของท่านเมื่อหลายสิบปีก่อนหลวงปู่ "ข้าเคยอธิษฐานขอคาถาจากอาจารย์ธรรมโชติ เพราะเห็นคนเขาลักของของวัด บางทีข้านอนอยู่ยังลักไปต่อหน้าต่อตา เขาเล่ากันว่า ที่วัดของท่าน ใครลักของไปต้องเอามาคืนหมด พระอาจารย์ธรรมโชติองค์นี้เป็นผู้ที่มีอาคมขลังในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในค่ายบางระจันเพื่อต่อสู้กับอริราชศัตรูคือ พม่า"
         ลูกศิษย์ "อาจารย์ธรรมโชติท่านสั่งให้ผมมาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ขอนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลกไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลกที่ท่านทำนั้นสูงอยู่แล้ว"
หลวงปู่จึงพูดกับผู้เขียนว่า"ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้"

         เป็นต้น แล้วยังมีอีกผมยกตัวอย่างคราวๆ ครับ

วัตถุมงคล

        วัตถุมงคลของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อาทิ แหวน เหรียญรุ่นต่างๆ เท่าที่ผมรู้และที่ผมมี ตัวอย่าง



















แหวนส่วนของครั้งต่อไปจะนำมาลงให้ดูครับ